วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560

เรดาร์ค้างคาว

            ค้างคาวส่วนมากกระฉับกระเฉงเฉพาะช่วงกลางคืนเท่านั้น และเป็นสัตว์ที่ออกหากินในตอนกลางคืน มนุษย์ที่ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับค้างคาวล้วนประหลาดใจว่า พวกมันบินไปในความมืดมิดแล้วจับเหงื่อมาเป็นอาหาร ได้อย่างไร 
            หลายคนมักจะคิดว่าค้างคาวมีสายตาที่เฉียบคมเป็นพิเศษ ทำให้สามารถมองเห็นได้ในความมืด แต่บัดนี้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า ค้างคาว ไม่ได้ใช้สายตาจับทิศทางที่มันบินไปกลับขึ้นอยู่ที่ประสาทการรับฟัง(หู) ของมันต่างหาก ย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ. 2323 นักสัตวศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อ สปอลลันซานี ได้ทำการทดลองโดยการผูกตาค้างคาวจำนวนหนึ่ง แล้วปล่อยให้มันบินเข้าไปในห้องที่มีด้านขึงรุงรังเต็มไปหมด แต่ค้างคาวก็สามารถ บินฝ่าไปได้อย่างสบายโดยไม่ชนเส้นด้ายแต่เมื่อเอาอะไรอุดหูของมันไว้ มันจะบินเข้าไปชนด้ายพันนัวเนียไปหมด เขาจึงค้นพบว่า ค้างคาวใช้ประสาทหู แทนประสาทตา ในการคลำหาทิศทางในความมืด ใน พ.ศ. 2463 นักวิทยาศาสตร์เสนอแนวความคิดว่า ค้างคาวส่งคลื่นสัญญาณซึ่งมนุษย์ไม่สามารถ ได้ยินได้ออกไป นั่นคือ คลื่นเสียงอุลตร้าโซนิก พ.ศ 2484 นักวิทยาศาสตร์ 2 คน ได้ใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ชนิดใหม่ตรวจจับเสียงอุลตร้าโซนิก ที่ค้างคาวปล่อยออกไป
            เครื่องมือดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ค้างคาวได้ส่งเสียงร้องที่มีคลื่นความถึ่สูงออกมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่มันบินฝ่าไปในเขตเส้นด้ายที่พันกันวกวนไปมาในที่มืด เมื่อนำเทปมาปิดปากไว้ทำให้ค้างคาวไม่สามารถปล่อยคลื่นเสียงออกไปได้ มันจึงบินไปอย่างสะเปะสะปะชนกับเส้นด้ายที่ขึงไว้ ค้างคาวจะส่งสัญญาณออกไป เสียงร้องที่มีความถี่สูงจะไปกระทบกับวัตถุที่อยู่ในเส้นทางของมันแล้วก็สะท้อนกลับมา ค้างคาวใช้เสียงสะท้อน หาจุดที่ตั้งของวัตถุต่าง ๆ ในที่มืด นักวิทยาศาสตร์เรียกคลื่นเสียงนี้ว่า "เสียงสะทอ้นหาตำแหน่ง" ซึ่งก็คล้ายกับระบบเรดาร์ของมนุษย์

***ที่มา : นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย , ห้องสมุดวิทยพัฒน์

ดวงอาทิตย์

      เมื่อเราตื่นนอนตอนเช้า จะมองเห็นแสงสว่างจ้าที่ขอบฟ้า และเมื่อเวลาผ่านไป แสงสว่างนั้นจะสว่างมากขึ้นทุกที และมีดวงไฟกลมดวงใหญ่ลอยขึ้นพ้นขอบฟ้า เราเรียกดวงไฟยักษ์นี้ว่า ดวงอาทิตย์  


การขึ้นตกของดวงอาทิตย์ 
       ดวงอาทิตย์จะลอยสูงขึ้นเมื่อถึงเวลาเที่ยงวัน ดวงอาทิตย์จะอยู่ที่ตำแหน่งสูงสุด หลังจากนั้นจึงลอยต่ำลงจนถึงขอบฟ้าด้านตรงข้ามกับตอนเช้าและลับขอบฟ้าไปในที่สุด ด้านที่ดวงอาทิตย์ขึ้น เราเรียกว่า ทิศตะวันออก ด้านที่ดวงอาทิตย์ตก เราเรียกว่า ทิศตะวันตก
       ถ้าเรายืนกางแขนให้มือซ้ายชี้ไปทางทิศตะวันออก ด้านมือขวาจะเป็นทิศตะวันตก ด้านหน้าของเราจะเป็นทิศใต้ และด้านหลังจะเป็นทิศเหนือ ดังนั้น เราสามารถกำหนดทิศได้จากการสังเกตปรากฏการณ์ขึ้นตกของดวงอาทิตย์    

ความสำคัญของดวงอาทิตย์  
         ดวงอาทิตย์ เป็นดาวที่มีรูปร่างกลมมีขนาดใหญ่กว่าโลกมาก และมีแสงร้อนแรงมาก บนดวงอาทิตย์ไม่มีสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ อาศัยอยู่เลย สามารถสังเกตลักษณะของดวงอาทิตย์ได้ด้วยตาเปล่าในเวลาเช้าตรู่และ เวลาใกล้ค่ำเพราะแสงอาทิตย์ในช่วงเวลานี้ เป็นแสงอ่อน ๆ ไม่มีอันตรายต่อดวงตาของเรา

 ดวงอาทิตย์ให้แสงสว่าง ทำให้เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรานอกจากนี้ดวงอาทิตย์ยังให้ความร้อนแก่โลก ทำให้อากาศที่อยู่รอบ ๆ  ตัวเราไม่หนาวเย็นจนเกินไป เรานำความร้อน และแสงสว่างจากดวงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์ได้มาก เช่น ตากผ้าให้แห้ง     
     ดังนั้น ดวงอาทิตย์ให้แสงสว่าง ดวงอาทิตย์จึงมีความสำคัญต่อโลกของเรา เพราะเป็นแหล่งที่ให้พลังงานความร้อนและแสงสว่างแก่โลกของเรา
แบบฝึกหัดเรื่อง ดวงอาทิตย์

ตอนที่ 1 ให้นักเรียนเขียนแผนผังต่อไปนี้มาให้ถูกต้อง

ตอนที่ 2 ให้นักเรียนเขียนแผนผังต่อไปนี้มาให้ถูกต้อง
ตอนที่ 3 ตอบคำถามต่อไปนี้
1) เรานำพลังงานแสงและความร้อนจากดวงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์ในด้านใดบ้าง
_________________________________________________________________
_________________________________________________________________
_________________________________________________________________
2) ถ้าไม่มีดวงอาทิตย์โลกเราจะเป็นอย่างไร
_________________________________________________________________
_________________________________________________________________
_________________________________________________________________
3) เซลล์แสงอาทิตย์คืออะไร
_________________________________________________________________
_________________________________________________________________
_________________________________________________________________
ตอนที่ 4 คำกล่าวใดถูกต้อง ให้ทำเครื่องหมาย P หน้าข้อที่ถูกต้อง
……………1) ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานธรรมชาติที่มีอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกในการดำรงชีวิต
……………2) คนและสัตว์ได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ จากการกินพืชเป็นอาหาร
……………3) ดวงอาทิตย์เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ให้พลังงานแสง
……………4) ดวงอาทิตย์ช่วยในการเดินทางและกำหนดทิศทางในการสัญจรไปมา
……………5) โลกไม่ได้เป็นดาวเคราะห์อยู่ภายใต้ระบบสุริยะ
……………6) ความร้อนและแสงจากดวงอาทิตย์ทำให้เรามีไฟฟ้าใช้
……………7) ดวงอาทิตย์ทำให้เกิดฤดูกาลขึ้นบนโลก ขณะที่ดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก
……………8) ระบบสุริยะเป็นระบบที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์
……………9) เซลล์สุริยะเป็นพลังงานไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์

……………10) พลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์นำไปใช้ประโยชน์ในการถนอมอาหาร 


                           




                                                            

พลังงานไฟฟ้า

 ไฟฟ้าเป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง  ที่ให้ประโยชน์มากมายแก่มนุษย์ไฟฟ้าสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานรูปอื่นได้  แต่ในขณะเดียวกันไฟฟ้า  ก็เป็นสิ่งที่มีอันตรายอย่างรุนแรง  ก่อให้เกิดความเสียหายได้มาก

          นักวิทยาศาสตร์ได้มีการศึกษาเรื่องไฟฟ้ากันต่อมาหลายคน  และได้ค้นพบเรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้าที่สำคัญ  ดังนี้
         โรเบิร์ต  บอยส์  พบว่าไฟฟ้ามีสองชนิด  เรียกว่าชนิดลบ  และชนิดบวก  ซึ่งจะมีการผลักกันและดูดกันได้
          เบนจามิน แฟรงคลิน  เป็นผู้ทดลองว่า  ฟ้าแลบ คือ สปาร์คไฟฟ้าโดยเล่นว่าวขึ้นไปใกล้เมฆ
ฝน  ประจุไฟฟ้าก้อนเมฆจะไหลออกมาตามเส้นว่าว
ที่เปียก  เขาได้ประดิษฐ์สายล่อฟ้าเพื่อป้องกันฟ้าผ่า
          - อาเลสซานโดร  โวลตา  เป็นผู้กระทำไฟฟ้าจากปฏิกิริยาเคมี  เรียกว่า  เซลล์ไฟฟ้าหรือแบตเตอรี่
          - เซอร์ฮัมฟรี เดวี และอาราโก  ค้นพบว่ามีกระแสไฟฟ้าไหลในขดลวดที่พันรอบเหล็กกล้า  ทำให้แท่งเหล็กกล้าเป็นแม่เหล็กถาวร
          - โทมัส  เอดิสัน  เป็นผู้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าเป็นคนแรกเห็นได้ว่า  เรื่องไฟฟ้าเป็นเรื่องที่มีการค้นคว้าทดลองมาโดยตลอด  ไฟฟ้าเป็นพลังงานที่ให้ประโยชน์อย่างมากมายแก่มนุษย์  สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงานรูปอื่นได้  และในขณะเดียวกัน ไฟฟ้าก็เป็นสิ่งที่มีความอันตรายอย่างรุนแรง เช่น ร่างกายถูกไฟฟ้าดูดก็อาจตายได้ หรือกระแสไฟฟ้าช็อตทำให้เกิดไฟไหม้

ชนิดของไฟฟ้า

          ไฟฟ้าแบ่งเป็น  ชนิด คือ
          1.  ไฟฟ้าสถิต
          2.  ไฟฟ้ากระแส
ก. ไฟฟ้าสถิต  เกิดจากการนำวัตถุสองชนิดมาขัดสีหรือถูกัน  ทำให้ประจุไฟฟ้าที่มีอยู่ในวัตถุนั้นเกิดการเคลื่อนที่  และวัตถุนั้นสามารถแสดงอำนาจไฟฟ้าได้ถ้าเราใช้ผ้าสักหลาดถูที่ปลายไม้บรรทัดด้านใดด้านหนึ่งหลายๆครั้งแล้วนำปลายไม้บรรทัดด้านนั้นไปวางใกล้ๆเศษกระดาษจะเห็นได้ว่าที่ปลายไม้บรรทัดเกิดแรงดูดกระดาษชิ้นเล็กๆได้   เมื่อปล่อยไว้สักครู่เศษกระดาษชิ้นเล็กๆ ก็จะดูดลงมา

การป้องกันอันตรายที่เกิดจากฟ้าผ่า

1. อาคารหรือสิ่งก่อสร้างสูงๆ ต้องติดสายล่อฟ้า
2. ไม่ออกยืนอยู่ในที่โลงแจ้ง ที่สูง หรือที่ต้นไม้สูงๆ ในขณะที่มีเมฆฝนและฝนฟ้าคะนอง
3. ถ้าอยู่บริเวณกลางแจ้งในขณะที่ฝนฟ้าคะนอง ควรนอนราบกับพื้นและถอดเครื่องประดับที่เป็นสื่อไฟฟ้าออกเสียก่อน และไม่ควรหลบอยู่ใกล้สิ่งที่เป็นโลหะตัวนำ เช่น สังกะสี ลวดหุ้ม เสาไฟฟ้า
ข. ไฟฟ้ากระแส เกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนอิสสระ ไอออนบวก จากที่หนึ่งสู่อีกที่หนึ่งในวงจรไฟฟ้า ซึ่งไฟฟ้ากระแสนี้จะเกิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดกระแสไฟฟ้า

แหล่งกำเนิดไฟฟ้า

          1. เซลล์ไฟฟ้า เช่น ถ่านไฟฉาย
          2. แบตเตอรี่
          3. เซลล์สุริยะ หรือโซล่าเซลล์
          4. ไดนาโม 

ตัวนำและฉนวนไฟฟ้า

การทดลอง  เรื่อง   สว่าง ไม่สว่าง
สมมติฐาน
.........................................................................................................................................
ชนิดของตัวแปร
ตัวแปรต้น
..........................................................................................................................................
ตัวแปรควบคุม
..........................................................................................................................................
ตัวแปรตาม
..........................................................................................................................................

วิธีทดลอง



ผลการทดลอง
วัสดุ
สว่าง
ไม่สว่าง
ตัวนำไฟฟ้า/ฉนวนไฟฟ้า









































สรุปผลการทดลอง
.........................................................................................................................................
.........................................................................................................................................
.........................................................................................................................................
.........................................................................................................................................
          ตัวนำไฟฟ้า คือ วัตถุที่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้สะดวก เช่น โลหะชนิดต่างๆ สารละลายของกรด เกลือ ด่าง
เงินเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีที่สุด รองลงมาก็คือ ทองแดง ทองคำ อะลูมิเนียม สังกะสี ตามลำดับ รวมทั้งน้ำธรรมดา และร่างกายของเราก็เป็นตัวนำไฟฟ้า
          ฉนวนไฟฟ้า คือ วัตถุที่ไม่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน เช่น ยาง แก้ว ผ้า น้ำบริสุทธิ์

แรง และการเคลื่อนที่

        วัตถุหรือสิ่งต่างๆ  สามารถเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงรูปร่าง  หรือหยุดนิ่งได้  เมื่อมีพลังงานรูปหนึ่งซึ่งเรียกว่า  "แรง"  มากระทำกับวัตถุนั้น

          แรงที่รู้จักกันในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น  3  ประเภท  คือ
          1.  แรงที่เกิดจากธรรมชาติ  เช่น  แรงลม  แรงน้ำ  แรงโน้มถ่วง  เป็นต้น
          2.  แรงที่เกิดจากกล้ามเนื้อ  คือ  แรงที่เกิดจากการเคลื่อนไหว  ซึ่งอาจเป็นแรงจากกล้ามเนื้อของเรา  เช่น  การยกของ  ขว้างก้อนหิน  แรงดึง  แรงผลัก  เป็นต้น
          3.  แรงที่ได้จากเครื่องจักรกล  เป็นแรงที่เกิดจากมนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น  เช่น  แรงจากเครื่องกล  ได้แก่ รถยนต์  เรือ  รวมไปถึงแรงที่เกิดจากเครื่องผ่อนแรงทั้งหลาย  เช่น  ลูกรอก  เป็นต้น
          แรงโน้มถ่วงของโลก
          วัตถุต่างๆ  ที่ปล่อยจากที่สูง จะตกลงสู่ผิวโลกเสมอ  เพราะโลกและวัตถุต่างๆ นั้น  จะออกแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน  จึงเรียกแรงจึงดูดที่โลกดึงดูดวัตถุนี้ว่า  แรงโน้มถ่วงของโลก

เซอร์ไอแซก  นิวตัน (Sir Isaac Newton)  นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ  เป็นผู้ค้นพบแรงโน้มถ่วงจากการสังเกตการหล่นของลูกแอปเปิล  จากการสังเกตถึงผลแรงโน้มถ่วงของโลกที่กระทำต่อวัตถุต่างๆ  ในโลกแล้วอธิบายว่า  "วัตถุทุกอย่างจะออกแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน
เหมือนกับแรงโน้มถ่วงของโลกที่กระทำต่อวัตถุทุกอย่างในโลก"
          กาลิเลโอ  กาลิเลอิ (Galileo Galilei)  นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาเลียน
เป็นผู้ค้นพบว่า  แรงโน้มถ่วงดึงดูดวัตถุด้วยความเร่งเดียวกัน  และทำให้วัตถุตกลง
มาด้วยความเร่งคงที่  แม้ว่าวัตถุจะมีน้ำหนักไม่เท่ากัน  นั่นคือ วัตถุใดๆ เมื่อปล่อยจากที่สูงเท่ากัน  จะตกลงสู่พื้นผิวโลกพร้อมกัน
           แรงดึงดูดของโลก  หรือ  แรงโน้มถ่วงของโลก  (gravity) ทำให้วัตถุสิ่งของต่างๆ  ที่อยู่บนโลกมีน้ำหนัก  ดังนั้น  เมื่อเรายกสิ่งของต่างๆ  จะรู้สึกว่าสิ่งของเหล่านั้นมีน้ำหนัก  เราต้องออกแรงยกขึ้นซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสิ่งของเหล่านั้นมี
น้ำหนักมากหรือน้อย  ทั้งนี้เพราะมีแรงดึงดูดระหว่างโลกกับสิ่งของเหล่านั้น
            แรงโน้มถ่วงของโลกที่กระทำต่อวัตถุต่างๆ  จะมีขนาดเท่ากันไม่ว่าวัตถุนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม  แต่สาเหตุที่ทำให้วัตถุต่างๆ  มีน้ำหนักไม่เท่ากันทั้งๆ  ที่ถูกแรงดึงดูดเท่าๆ กัน  ก็เพราะว่าวัตถุต่างๆ  มีมวลต่างกันนั่นเอง
            ดังนั้น  จะพบว่า  การเคลื่อนย้ายหรือยกสิ่งของ  เช่น โต๊ะขนาดใหญ่  หรือตู้เย็น  จะต้องออกแรงมาก  ตรงกันข้ามกับดินสอ  กระเป๋านักเรียน  ใช้แรงน้อยมากในการเคลื่อนย้ายหรือยก  เพราะมีมวลน้อย  จึงมีน้ำหนักน้อยกว่า  มวลและ น้ำหนักจึงมีความหมายแตกต่างกัน
มวลและน้ำหนัก
       
มวล  หมายถึง  ปริมาณของเนื้อสารที่มีอยู่ในวัตถุ  ซึ่งจะมีค่าคงที่ตลอดเวลา  ไม่ว่าวัตถุจะอยู่ที่ไหนก็ตาม  วัตถุใดมีเนื้อสารมากจะมีมวลมาก  และถ้าวัตถุใดมีเนื้อสารน้อยจะมีมวลน้อย  เราสามารถวัดมวลของวัตถุได้  โดยใช้เรื่องมือที่เรียกว่า  เครื่องชั่งน้ำหนัก คือ แรงดึงดูดของโลก  ที่ดึงให้วัตถุตกลงสู่พื้น
น้ำหนักของวัตถุขึ้นอยู่กับแรงดึงดูดของโลกที่กระทำต่อวัตถุนั้น
แรงดึงดูดของโลกจะแตกต่างกันไปตามแต่ละสถานที่
        เครื่องมือในการหาน้ำหนักของวัตถุ  เรียกว่า  เครื่องชั่งน้ำหนัก
มีหลายแบบ  แล้วแต่ความเหมาะสมของสิ่งของ  เช่น  เครื่องชั่งสปริง
น้ำหนักมีหน่วยเป็น นิวตัน  แต่เครื่องชั่งน้ำหนักในชีวิตประจำวันใช้หลักการเปรียบเทียบกับน้ำหนักของมวลมาตรฐาน  (1 กิโลกรัม)  และกำหนดให้ค่าที่อ่านได้บนเครื่องชั่งเป็นกิโลกรัม
ประโยชน์ของแรงโน้มถ่วง
       
1.  ช่วยดึงดูดวัตถุในโลกไม่ให้หลุดลอยไปในอวกาศ
        2.  ช่วยผ่อนแรงเวลายกของลงจากที่สูง
        3.  ทำให้วัตถุบนโลกทุกชนิดมีน้ำหนัก
        4.  ทำให้เกิดแรงน้ำ  เนื่องจากทำให้น้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ
โทษของแรงโน้มถ่วง
        1.  ทำให้ร่างกายได้รับอันตรายจากการตกจากที่สูง
        2.  สิ่งของที่ตกจากที่สูงได้รับความเสียหาย
        3.  ต้องออกแรงมากเมื่อต้องการเคลื่อนย้ายวัตถุ

แรงเสียดทาน
        แรงเสียดทาน  (friction)  เป็นแรงที่ต่อต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุโดยมีทิศทางไปทางตรงข้ามกับวัตถุที่เคลื่อนที่ไปแรงเสียดทานนี้จะปรากฏอยู่ที่ผิวของวัตถุที่จะเคลื่อนที่น้องๆลองสังเกตคนที่เล่นสเก็ตน้ำแข็ง  เขาจะไถลไปบนน้ำแข็งได้อย่างรวดเร็วทั้งนี้เพราะมีแรงเสียดทานน้อย เนื่องจากผิวสัมผัสเป็นโลหะกับ
น้ำแข็งซึ่งต่างกับรองเท้ายางกับพื้นซีเมนต์ที่ทำให้การไถลเกิดขึ้นได้ยากเพราะมีแรงเสียดทานมากระหว่างผิวสัมผัสยางกับพื้นซีเมนต์การย้ายโต๊ะ  ตู้   ไปบนพื้นที่ลื่นสามารถทำได้ง่ายขึ้นเมื่อใช้ผ้าหนาๆ มารองข้างล่างแล้วดันไป
        ดังนั้น  จึงมีการประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ช่วยลดแรงเสียดทานที่เกิดขึ้น  เพื่อลดการสัมผัสระหว่างวัตถุกับพื้นผิว  เช่น การทำล้อเลื่อน และการใช้น้ำมันหล่อลื่น  เป็นต้น
ประโยชน์ของการลดแรงเสียดทาน
     1.   การลดการเสียดสีกันของข้อต่อกระดูก
   2.  ลดการเสียดสีกันระหว่างลูกสูบและกระบอกสูบ
ของเครื่องยนต์  โดยใช้การใช้น้ำมันหล่อลื่นในเครื่องยนต์
     3.   กระดานลื่นที่สนามเด็กเล่นทำการขัดถูผิววัตถุให้เรียบลื่น
    4.  การฉาบสารเทฟลอนบนภาชนะ  กระทะ  ถาดอบ 
เพื่อเพิ่มความลื่นไม่ให้อาหารติด
ประโยชน์ของการเพิ่มแรงเสียดทาน
    1.  ทำให้มีแรงยึดเหนี่ยวที่ดีขึ้น  เช่น  การผลิตนอตให้มีเกลียว  เพื่อเพิ่มแรงเสียดทาน
   2. ทำให้การเดินหรือการทรงตัวดีขึ้น  เช่น  บนพื้นถ้าลื่นไม่มีแรงเสียดทาน จะทำให้คนเดินได้ลำบากลื่นล้มง่าย การทำพื้นให้มีความขรุขระทำให้เดินหรือทรงตัวดีกว่าพื้นเรียบขัดมันพื้นรองเท้าใช้วัสดุที่เพิ่มแรงเสียดทานระหว่างพื้นกับรองเท้า  เพื่อการทรงตัวและการเคลื่อนไหวที่สะดวกขึ้น
    3.  ทำให้ยานพาหนะเกาะถนนที่เปียกได้ดียิ่งขึ้น  เช่น  การทำยางรถมีลวดลาย  ที่เรียกว่า  ดอกยางเพื่อให้รีดน้ำ  และเพิ่มแรงเสียดทานในการยึดเกาะถนน
สรุปเรื่องแรงและการเคลื่อนที่ได้ดังนี้
    แรงทำให้วัตถุเคลื่อนที่หรือเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม  เช่น  ตำแหน่ง  ความเร็ว  ขนาด  รูปร่าง
   • แรงแบ่งออกเป็น  2  ประเภทใหญ่ๆ  คือ  แรงที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์  และแรงที่เกิดจากธรรมชาติ
    • แรงที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์  เช่น  แรงดึง แรงผลัก แรงจากเครื่องกล
    • แรงที่เกิดจากธรรมชาติ  เช่น  แรงลม  แรงน้ำ  แรงแม่เหล็ก
   • แรงโน้มถ่วงของโลก  หรือแรงดึงดูดของโลก  คือ  แรงดึงดูดที่โลกดึงดูดวัตถุทุกอย่างเข้าหาโลกเสมอ  แรงโน้มถ่วงที่โลกกระทำต่อวัตถุใดๆ มีค่าเท่ากับ  การที่วัตถุแต่ละชนิดมีน้ำหนักไม่เท่ากัน  ก็เนื่องมาจากมวลของวัตถุแต่ละชนิดนั่นเอง
การทดลองเรื่อง  แรงมากหรือน้อย
สมมติฐาน
......................................................................................................................................... 
ชนิดตัวแปร
ตัวแปรต้น
.........................................................................................................................................
ตัวแปรควบคุม
.........................................................................................................................................
ตัวแปรตาม
.........................................................................................................................................

ผลการทดลอง     .......................................................................................................................................
.......................................................................................................................................
สรุปผลการทดลอง
.......................................................................................................................................
....................................................................................................................................... 
ประโยชน์
.......................................................................................................................................
.......................................................................................................................................


เรดาร์ค้างคาว

            ค้างคาวส่วนมากกระฉับกระเฉงเฉพาะช่วงกลางคืนเท่านั้น และเป็นสัตว์ที่ออกหากินในตอนกลางคืน มนุษย์ที่ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับค้างคาวล้...