หลายคนมักจะคิดว่าค้างคาวมีสายตาที่เฉียบคมเป็นพิเศษ
ทำให้สามารถมองเห็นได้ในความมืด แต่บัดนี้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า ค้างคาว
ไม่ได้ใช้สายตาจับทิศทางที่มันบินไปกลับขึ้นอยู่ที่ประสาทการรับฟัง(หู)
ของมันต่างหาก ย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ. 2323 นักสัตวศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อ สปอลลันซานี
ได้ทำการทดลองโดยการผูกตาค้างคาวจำนวนหนึ่ง
แล้วปล่อยให้มันบินเข้าไปในห้องที่มีด้านขึงรุงรังเต็มไปหมด แต่ค้างคาวก็สามารถ
บินฝ่าไปได้อย่างสบายโดยไม่ชนเส้นด้ายแต่เมื่อเอาอะไรอุดหูของมันไว้
มันจะบินเข้าไปชนด้ายพันนัวเนียไปหมด เขาจึงค้นพบว่า ค้างคาวใช้ประสาทหู
แทนประสาทตา ในการคลำหาทิศทางในความมืด ใน พ.ศ. 2463
นักวิทยาศาสตร์เสนอแนวความคิดว่า ค้างคาวส่งคลื่นสัญญาณซึ่งมนุษย์ไม่สามารถ
ได้ยินได้ออกไป นั่นคือ คลื่นเสียงอุลตร้าโซนิก พ.ศ 2484 นักวิทยาศาสตร์ 2 คน
ได้ใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ชนิดใหม่ตรวจจับเสียงอุลตร้าโซนิก
ที่ค้างคาวปล่อยออกไป
เครื่องมือดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า
ค้างคาวได้ส่งเสียงร้องที่มีคลื่นความถึ่สูงออกมาอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่มันบินฝ่าไปในเขตเส้นด้ายที่พันกันวกวนไปมาในที่มืด
เมื่อนำเทปมาปิดปากไว้ทำให้ค้างคาวไม่สามารถปล่อยคลื่นเสียงออกไปได้ มันจึงบินไปอย่างสะเปะสะปะชนกับเส้นด้ายที่ขึงไว้ ค้างคาวจะส่งสัญญาณออกไป เสียงร้องที่มีความถี่สูงจะไปกระทบกับวัตถุที่อยู่ในเส้นทางของมันแล้วก็สะท้อนกลับมา
ค้างคาวใช้เสียงสะท้อน หาจุดที่ตั้งของวัตถุต่าง ๆ ในที่มืด
นักวิทยาศาสตร์เรียกคลื่นเสียงนี้ว่า "เสียงสะทอ้นหาตำแหน่ง"
ซึ่งก็คล้ายกับระบบเรดาร์ของมนุษย์
***ที่มา
: นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย , ห้องสมุดวิทยพัฒน์


สาระดีมากๆเลยครับ
ตอบลบน่าสนใจมากครับ
ตอบลบขอบคุณค่ะ
ตอบลบน่าสนใจมากๆ เลยคะ คุณครูเนส
ตอบลบได้ความรู้เยอะเลย
ตอบลบได้ความรู้เยอะเลย
ตอบลบได้ความรู้เยอะขึ้นเลยครับ
ตอบลบได้สาระดีดีค่ะ
ตอบลบขอบคุณสำหรับสาระความรู้ดี ๆ นะครับ
ตอบลบ